ประเภทซีแลนด์ และการใช้งาน
ยาแนวมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
แล้วงานแบบไหน ควรใช้อะไรดี
แน่นอนว่า ในปัจจุบันยาแนวที่เรียกว่า sealant
นั้นมีทั้งหมด4ประเภท คือ อะคริลิค ซิลิโคน
โพลิยูริเทน และไฮบริด ทำให้เกิดความสับสนกันว่า
เราควรใช้ตัวไหน ตัวไหนใช้ดีใช้นาน ดังนั้นในหัวข้อวันนี้
ทางเราจะทำการสรุปเป็นประเภทและงานที่เหมาะสม กับยาแนวแต่ละชนิด
รวมถึงคุณสมบัติและข้อดี ข้อเสียของแต่ละชนิดยาแนวให้ได้ทราบกัน
1. อะคริลิค (Acrylic) เป็นยาแนวที่มีความยืดหยุ่นน้อย โดยทั่วไปที่ 5% ทำมาจากวัสดุกลุ่มพาสติกไฮโดรคาร์บอน
มีน้ำเป็นตัวทำละลาย แต่เมื่อแข็งตัวแล้วจะไม่ละลายน้ำ ข้อดีคือ ปิดรอย
ขัดตกแต่งผิวงาน และทาสีทับได้ ราคาถูกกว่ายาแนวชนิดอื่น ข้อเสียคือ ยืดหยุ่นน้อย
รับแรงได้น้อย
เนื่องจากมีน้ำเป็นตัวทำละลายจึงไม่เหมาะสำหรับการใช้ในพื้นที่เปียกชื้น เพราะเนื้ออะคริลิคจะไม่แข็งตัว
ที่สำคัญคือไม่ทนแดด จึงไม่ควรใช้กับงานภายนอก
2. ซิลิโคน (Silicone)เป็นยาแนวที่มีความยืดหยุ่นสูงถึง
25% ยาแนวซิลิโคนนี้เป็นวัสดุกึ่งเหลวที่มีความยืดหยุ่นสูง
ทนต่อรังสี UV จึงสามารถใช้ภายนอกอาคารได้ มีแรงยึดเกาะสูง
และด้วยคุณสมบัติที่สามารถนำไปใช้ได้สารพัดประโยชน์
ยาแนวประเภทนี้จึงนิยมใช้กันมากที่สุด
ทำให้มีการเข้าใจผิดเรียกยาแนวหรือวัสดุปิดรอยต่อ อุดรอยรั่วทั้งหมดว่า ซิลิโคน
แต่ความจริงแล้ว ยาแนวซิลิโคนเป็นเพียงประเภทหนึ่งของวัสดุปิดรอยต่อ
ยาแนวซิลิโคนนิยมใช้กับรอยต่อระหว่างอลูมิเนียมกับกระจก
โดยเฉพาะอาคารสูงที่มีการติดตั้งกระจกจำนวนมาก แต่ยาแนวประเภทนี้ไม่สามารถทาสีทับได้
ดังนั้น จึงมีการผลิตออกมาหลากหลายสีให้เลือกใช้งาน
เพื่อให้เข้ากับงานหรือวัสดุที่ใช้ด้วยกัน เช่น สีใส ใช้กับงานกระจก สีขาว
ใช้กับงานสุขภัณฑ์ สีดำ สีเทา หรือสำนน้ำตาลใช้กับเคาน์เตอร์หินแกรนิตในห้องครัว
หรือสีเฉดต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับงานตกแต่งอาคารที่ต้องการความวายงาม เช่นสีแดง
สีเหลือง สีเขียว เป็นต้น
นอกจากนี้ยาแนวซิลิโคนก็ยังแบ่งแยกย่อยออกไปอีก
2 ประเภท คือ 1)ยาแนวซิลิโคนแบบมีกรด จะมีกลิ่นเปรี้ยว คุณสมบัติคือเร็วเหมาะกับงานปิดรอยต่อระหว่างกระจกกับกระจก
เพราะมีแรงยึดเกาะสูง แต่ข้อควรระวังคือ ไม่ควรใช้งานกับพื้นผิวพวกกลุ่มโลหะและหินอ่อน
เพราะกรดจะไปทำปฏิกิริยากัดกร่อนพื้นเหล่านั้นให้เกิดความเสียหายได้
2)ยาแนวซิลิโคนแบบไม่มีกรด มักไม่มีกลิ่นเปรี้ยว แต่แห้งช้ากว่า และมีแรงยึดเกาะที่น้อยกว่า
มีความยืดหยุ่นที่มากกว่า พื้นผิวที่เหมาะกับการใช้งาน เช่น คอนกรีต ปูน อิฐ ไม้
เซรามิค สุขภัณฑ์ และอะลูมิเนียม
3.โพลิยูริเทน (Poly Urethane) ยาแนวประเภทนี้มักเรียกกันว่า พียู (PU) มีความยืดหยุ่นตัวสูงมาก
แข็งแรง ทนทาน แห้งแล้วไม่หดตัว จึงสามารถอุดรอยต่อในที่ที่มีการเคลื่อนตัวได้ดี
เพราะทนต่อรังสี UV ทาสีทับได้ ยาแนวโพลียูริเทนนี้
เหมาะกับงานรอยต่อระหว่างโครงสร้างของอาคาร งานรอยต่อพื้น แผ่นพรีคาส คอนกรีต
ปิดรอยต่อเมทัลชีท อุดรอยต่อกระเบื้องมุงหลังคา แต่ไม่เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับหินธรรมชาติ
หรืองานที่มีการทาสีทับ เนื่องจากยาแนวประเภทนี้
มีการคายน้ำมันหรือสารระเหยออกมาอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เมื่อระยะเวลาผ่านไป
บริเวณขอบยาแนวจะมีการเปื้อนของคราบสารระเหยอย่างถาวร ทำให้ช่วงหลังนี้ความนิยมในยาแนวประเภทนี้
ลดน้อยลงไป
4.ไฮบริด หรือ โมดิฟาย ซีแลนด์ (Hybrid/Modified
Sealant) ยาแนวประเภทนี้ ถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาของยาแนวแบบเดิม
โดยการนำข้อดีของยาแนวแบบโพลิยูริเทนและซิลิโคนมาพัฒนา
ให้ยาแนวสามารถทาสีทับได้เหมือนยาแนวโพลิยูริเทน
มีความยืดหยุ่นตัวและยึดเกาะตัวสูง ป้องกันรังสี UV ได้เหมือนยาแนวซิลิโคน
สามารถใช้งานในที่เปียกชื้นได้ ใช้งานได้กับเกือบทุกพื้นผิว ทั้งคอนกรีต โลหะ
หินธรรมชาติ สแตนเลส อะลูมิเนียม พีวีซี ไม้ ไฟเบอร์ซีเมนต์ ไม่มีสารระเหยประเภทฮาโลเจน
และไอโซไซยาเนต ที่เป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพร่างกาย